ทำไมถึงชอบเทรดสวนเทรน?

ฝากกดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยน้า

เป็นคำถามยอดฮิตที่เทรดเดอร์ FX ที่พึ่งเข้ามาในวงการมักจะถามผมบ่อยๆ ในครั้งแรกที่เราได้เปิดบทสนทนากัน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้เข้าใจภายใน 5 นาทีเหมือนกันนะ ผมเลยใช้พื้นที่ตรงนี้ในการขยายความให้กับเพื่อนๆ อีกหลายๆ คนได้เห็นมุมมองการเทรดโดยใช้ Robot ของผมไปด้วยเลยละกัน

ช่วงนี้เทรดง่ายจังเลย?

คุณเคยเห็นเพื่อนๆ ในโซเชียลของคุณพูดถึงกราฟหรือราคา FX และทองคำช่วงนี้ในลักษณะแบบนี้กันบ้างหรือเปล่า ?

“ช่วงนี้กราฟง่ายมาก” หรือ
“ช่วงนี้เทรดง่ายมากเลย”

และเคยสงสัยกันบ้างมั้ยล่ะ? ว่าไอ้คำว่า “ง่าย” ที่พวกเค้าพูดถึงกันเนี่ย มันหมายความกันว่าอย่างไร? เดี๋ยวเราจะมาขยายความเรื่องนี้กันก่อน เพราะมันจะนำไปสู่ประเด็นหลักที่เราจะคุยกันในวันนี้เลย

ผมต้องเกริ่นนำให้คุณได้เข้าใจพฤติกรรมของตลาดกันซักหน่อย ถ้าเป็นตลาด Forex เอง (หรือทองคำในบางช่วง) ส่วนใหญ่แล้วจะมีพฤติกรรมที่เป็นลักษณะแบบ Sideway มากกว่า Trend ในอัตราส่วน 80:20 เหมือนที่ผมได้พยายามอธิบายมันไปในหลายๆ บทความก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าหากเป็นมือใหม่ที่พึ่งเข้ามาในตลาด เรามักจะถูกตลาดพร่ำสอนกันมาว่า

“ควรเทรดในช่วงที่ตลาดเป็น Trend ชัดเจน ส่วนช่วงที่ตลาดเป็นแบบ Sideway ให้นั่งทับมือเอาไว้”

คุ้นๆ กับคำสอนเหล่านี้ไหมล่ะครับ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ด้วยพฤติกรรมของตลาดในอัตราส่วน 80:20 นั่นหมายความว่าหากคุณยังคงยึดคำสอนนั้นเป็นหนทางนำชีวิตให้พอร์ตคุณเติบโต ในสภาวะตลาดทั้ง 100% จำเหลือช่วงเวลาที่คุณจะทำกำไรได้เพียงแค่ 20 ส่วนเท่านั้น หากคุณสามารถรีด RRR ให้ได้มากกว่า 1:5 ขึ้นไป ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่คู่ควรแค่การรอคอย เพราะคุณจะทำกำไรได้ชดเชยเวลาที่เสียไปในอีก 80% ที่เหลือ

แน่นอนว่านอกจากเรื่องดีมันก็มีเรื่องร้ายปะปนเข้ามาด้วย เพราะมันสามารถเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุดขึ้นมาได้หากช่วงเวลา 80% ของตลาด Sideway กำลังจะหมดไป แต่คุณก็ยังไม่แน่ใจว่าตลาดมันกำลังจะปรับตัวเป็น Trend แล้วหรือเปล่า ด้วยเงินลงทุนก้อนสุดท้ายที่มิอาจสูญเสียมันไปได้อีกแล้ว คุณจึงพยายามพยากรณ์การเกิด Trend กันก่อน และนี่แหละครับคือจุดพลิกผัน หากออเดอร์ที่คุณส่งไปตะลุยในตลาดเกิดผิดพลาด ทำให้คุณเกิดการขาดทุนหนัก คุณจะเริ่มเกิดความ “กลัว” เพราะไม่มั่นใจกับสิ่งที่คุณตัดสินใจลงไป หากราคาพลิกกลับมาบวกได้เมื่อไหร่ คุณก็จะตัดสินใจรีบปิดออเดอร์นั้นไปก่อน เพราะคิดว่าโชคดีแล้วที่มันกลับตัวมาให้เราปิดทำกำไรนิดๆ หน่อยๆ ได้ เมื่อคุณกลายกังวลได้แล้วจึงรีบไปนอนเอาแรง ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาหาโอกาสทำกำไรใหม่อีกครั้ง … และแน่นอนว่าตลาดมันก็มักจะกลั่นแกล้งพวกเราอยู่เสมอ เมื่อคุณตื่นเช้ามาและพบกับแท่งเทียนสีเขียวใหญ่และยาวของทองคำที่ทำ All time high ตลอดกาลตั้งอยู่ตรงหน้าให้คุณได้รู้สึกเสียดายที่เฝ้ารอโอกาสทำกำไรมานานแต่อดทนรอให้มันทำกำไรได้ไม่ไหว และคุณก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสดีๆ แบบนี้กลับเข้ามาในชีวิตอีกกันแน่

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเทรดเดอร์ทั่วทุกมุมโลกอย่างไม่ต้องสงสัย (รวมถึงผมด้วย) ซึ่งช่วงที่พฤติกรรมของราคามีความผันผวนสูง สะบัดขึ้นสะบัดลงอย่างไม่ถงไม่ถามสุขภาพของเทรดเดอร์เลยซักคำ ทำให้เหล่าเทรดเดอร์ต่างตั้งชื่อความบ้าคลั่งของกราฟแบบนี้ว่า “เทรดยาก” เพราะเราไม่มีทางเดามันได้เลยว่ามันจะขึ้นไปสูงสุดตรงไหน จะ Break จริงหรือ Break หลอกกันแน่ สำหรับสาย Technical ที่ตั้งใจจะมาเก็บกำไรในช่วงสภาวะตลาดแบบ Trend จึงทำได้แต่นั่งทับมือกันไปก่อน (เรียกว่าเทรดยากสำหรับชาว Trend Follower) แต่ถ้าเป็นกรณีที่ราคา Break แล้วก็พุ่งต่อเนื่องกันไปยาวๆ แบบไม่กลับมาเหลียวหลังเลยบ่อยๆ แบบนี้ก็จะเรียกว่า “เทรดง่าย” นั่นเอง

ทีนี้ก็ถึงคราวชาวสวนกันบ้าง หากพฤติกรรมที่ราคามีการสะบัดไปมาอย่างปั่นป่วนแบบนี้ ย่อมเหมาะกับกลยุทธ์การเทรดแบบ Sideway เป็นที่สุด พอราคาวิ่งๆ อยู่ในกรอบที่ชัดเจนมากๆ และมันมักจะเป็นแบบนี้กว่า 80% ของตลาดด้วย ทำให้ชาวสวนอย่างเราๆ ทำกำไรอยู่ในกรอบได้แบบสบายๆ ราคาถึงไปถึงกรอบด้านบนเราก็จิ้ม Sell อัดกลับลงไป พอราคาเริ่มมาแตะๆ แนวรับก็ยิงออเดอร์ Buy อัดให้มันเข้าไปในกรอบได้แบบหมูตู้ ลักษณะแบบนี้จะเรียกว่า “เทรดง่าย” สำหรับเทรดเดอร์สาย Sideway … แต่มันก็มิอาจเป็นแบบนั้นเสมอไป เมื่อชาวสวนต้องเจอปรากฏการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของช่วง 80% มายังช่วง 20% อย่างฉับพลัน เมื่อเริ่มมีแรงซื้อ/ขายค่อยๆ ทอยเข้ามาด้วยแรงส่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาเริ่มก่อตัวเป็น Trend ทำให้เทรดเดอร์สาย Sideway ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในกรอบ Swing ของราคาในช่วงก่อนก็ต้องเริ่มไหวตัวออกกันให้ทัน คนที่ออกก่อนก็จะเจ็บตัวน้อยกว่าคนที่พยายามยื้อสู้อยู่กับ Trend เพราะด้วยออเดอร์เก่าที่เทรดสวนอยู่ก่อนหน้ามันแบกความหวังและความฝันของครอบครัวคุณไว้ ทำให้คุณไม่อาจที่จะทำใน Cut Loss มันได้ง่ายๆ ลักษณะแบบนี้ก็จะเรียกว่าเป็นการ “เทรดยาก” สำหรับชาวสวนอย่างเราๆ นั่นเอง

แล้วคำว่า “เทรดง่าย” ในโซเชียลหมายความว่าอย่างไร ?

ผมว่าคุณพอจะเริ่มเดาได้แล้วล่ะ เพราะว่าในโลกออนไลน์ส่วนใหญ่จะเรียนเรื่องการเทรดตามแนวโน้มกันซะมากกว่า ทำให้ทุกคนที่พึ่งเข้ามาในตลาดพยายามที่จะเล็งการเทรดโดยอาศัยจังหวะ Breakout กันเป็นหลัก ซึ่งข้อดีของระบบนี้ก็คือ หากคุณสามารถรีด RR มันได้ดี (ซึ่งผมหมายถึง 1:5 ขึ้นไปจนอาจจะถึง 1:20 เลยนะ) มันจะทำให้คุณทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ เพื่อนำกำไรที่ได้มาใช้ในการเลี้ยงชีพในฐานะเทรดเดอร์ได้

ดังนั้นพวกเขาก็จะเฝ้ารอหาจังหวะที่ราคาเกิดการทะลุแนวรับหรือแนวต้าน เพื่อหาจังหวะที่จะ Follow ตามราคานั้นไป หลายๆ คนก็อาจจะรอจังหวะ Throwback ก่อนแล้วค่อยเข้าก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด หากไม่เกิด False Break ก็จะเรียกว่าเทรดง่ายนั่นแหละ ถ้าหากเกิด False Break อยู่บ่อยๆ มันจะเป็นจังหวะที่เทรดเดอร์กลุ่มนี้จะเสียเงินมากกว่าได้

ประเด็นหลักมันอยู่ที่ส่วนนี้แหละ

ทีนี้ในฐานะเทรดเดอร์ ถ้าเราจะเฝ้ารอการทำเงินเฉพาะช่วงตลาด Trend อย่างเดียวก็แลดูจะเสียโอกาสในการทำกำไรไปเยอะพอสมควร เพราะโอกาสที่ราคาจะเคลื่อนตัวเป็น Trend มันมีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับ Sideway … งั้นทำไมเราถึงไม่ทำกำไรมันทั้ง 2 ช่วงสภาวะตลาดไปเลยล่ะ? เมื่อเรารู้จุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละกลยุทธ์แล้ว เราก็ควรเลือกกลยุทธ์ที่ถูกต้องมาใส่ให้เหมาะกับสภาวะตลาดนั้นๆ สิ ถึงจะทำกำไรได้ตลอดเวลา

แล้วถ้าเกิดว่าเราเจอจุดตายของระบบล่ะ? เช่นเรากำลังปล่อยให้ระบบเก็บกำไรช่วง Sideway อยู่ดีๆ แล้วก็ดันมาเจอสภาวะตลาดที่เป็น Trend พอดี ทำให้เราติด Position ค่อนข้างเยอะ แบบนี้จะรับมืออย่างไรดี? หรือกรณีที่เทรดตามแนวโน้มอยู่ดีๆ ก็มาเจอสภาวะตลาดแบบ Sideway ทำให้เราปรับตัวไม่ทัน เราจะแก้ไขสถานการณ์แบบนี้อย่างไร?

ภาพตอนไปแนะนำเพื่อนๆ เพื่อฝึกเรื่อง Money Management

สำหรับตัวผมเอง ผมรู้ตัวดีว่าไม่สามารถที่จะจัดการออเดอร์ที่ทั้งเทรดแบบตามแนวโน้มกับแบบ Sideway ได้แน่ๆ จึงเลือกที่จะใช้ระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วย เช่น ตัวนึงให้เทรดตาม Trend อีกตัวนึงให้เทรดเก็บ Sideway กันไป หากตัวไหนถึง Limit ของมันแล้ว (เจอช่วงที่เป็นจุดอ่อน) ก็เข้าสู่กระบวนการจัดการ Drawdown กันไป (ผมเคยเขียนบทความเรื่องการจัดการ Drawdown แล้ว สามารถเข้ามาอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่เลย) และในช่วงรอยต่อระหว่างการเปลี่ยนจาก Trend เป็น Sideway ก็จะทำการลดสัดส่วนการลงทุนกันไป (เป็นการปรับพอร์ตที่ผมเคยแนะนำให้เพื่อนเทรดเดอร์หลายๆ คนไปอ่านเพิ่มเติมในลิงค์นี้ครับเกี่ยวกับ All Weather Story ที่อ้างอิงที่มาจาก Siamquant ก็ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ)

ทีนี้ก็น่าจะครบถ้วนแล้ว ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นแบบไหน เราก็หา Bot มาทำงานเพื่อให้เหมาะกับสภาวะแวดล้อมแบบนั้น ถ้าผิดทางก็เข้าสู่กระบวนการแก้กันไป แบบนี้เราจะสามารถทำเงินได้ตลอดเวลาทุกฤดูกาล และสามารถเป็นเครื่องผลิตเงินให้เราได้จริงๆ นั่นเองครับ

สรุป

ไม่ว่าคุณจะถนัดเทรดแบบไหน ก็สามารถต่อยอดให้เทรดเก่งขึ้นได้ หากคุณเอาใจใส่และลงรายละเอียดให้กับระบบเทรดที่คุณใช้อยู่ โปรดจำเอาไว้นะครับว่า การเทรดจริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่อง แต่การสร้างกำไรอย่างสม่ำเสมอให้กับพอร์ตลงทุนเป็นเรื่องที่ยากมากกว่า ในมุมมองของผม การที่คุณสามารถหาจุดที่ “เทรดง่าย” ของแต่ละสภาวะตลาด และสามารถทำเงินกับมันได้ตลอดเวลา เป็นเรื่องที่เทรดเดอร์พึงกระทำที่สุดครับ เพราะมันจะหมายความว่า “ไม่ว่าตลาดจะมารูปแบบไหน คุณก็จะสามารถทำเงินได้ตลอดเวลา” นั่นเอง

อ้างอิง
บทความนี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกที่ https://www.thailandfxwarrior.com/trading-diary/the-reason-why-i-trading-forex-with-mean-reversion-system/

บทความที่คุณอาจสนใจ
ประสบการณ์ สอบกองทุน Forex (EP.2) https://www.thailandfxwarrior.com/blog/trading-with-public-forex-funds-with-myforexfunds-ep2/
ประสบการณ์ สอบกองทุน Forex (EP.1) https://www.thailandfxwarrior.com/blog/trading-with-public-forex-funds-with-myforexfunds-ep1/



ติดต่อเพิ่มเติมได้ที่
🌐 Website: Thailand Fx Warrior
📺 YouTube: Trader Channel